บรรณานุกรม
ภาวะโลกร้อน
วันอังคารที่ 9 กรกฎาคม พ.ศ. 2556
ภาคผนวก
ภาคผนวก
ภาพพายุ
นากิสที่ก่อตัวในมหาสมุทรอินเดียแล้วขึ้นฝั่งที่ประเทศพม่า
โรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์
การที่โลกร้อนขึ้นทำให้น้ำแข็งขั่วโลกละลาย
ประเทศไทยกับภาวะโลกร้อน
ประเทศไทยกับภาวะโลกร้อน
1. นิยาม
การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change) ตามกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
(United Nation Framework
Convention on Climate
Change : UNFCCC) คือ การเปลี่ยนแปลงใดๆ
ของอากาศซึ่งเกิดจากกิจกรรมของมนุษย์ทั้งทางตรงและทางอ้อม อันทำให้ส่วนประกอบของบรรยากาศโลกเปลี่ยนแปลงไป
นอกเหนือจากการเปลี่ยนแปลงโดยธรรมชาติในช่วงเวลาเดียวกัน
2. สาเหตุ
ปรากฏการณ์เรือนกระจก
นับเป็นสาเหตุพื้นฐานของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศโลก
โดยที่โลกมีระบบควบคุมอุณหภูมิของสภาพบรรยากาศอยู่แล้ว โดยรังสีจากดวงอาทิตย์จะแผ่เข้าสู่ชั้นบรรยากาศและให้ความร้อนแก่โลก พลังงานบางส่วนทำให้โลกอบอุ่น
ก่อนจะถูกแผ่กลับออกห้วงอวกาศในรูปรังสีอินฟราเรด
โดยในภาวะปกติรังสีอินฟราเรดที่ถูกแผ่ออกไปบางส่วนจะถูกชั้นบรรยากาศของโลกกักเก็บไว้ตามธรรมชาติ ซึ่งจะช่วยให้อุณหภูมิของโลกอยู่ในระดับพอเหมาะ
3. ปัญหา
โลกกำลังเผชิญกับปัญหาที่ชั้นบรรยากาศของโลกกลับหนาขึ้น เนื่องจากก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ และก๊าซเรือนกระจกอื่น ๆ
ที่มนุษย์เป็นผู้ก่อ เมื่อชั้นบรรยากาศหนาขึ้น
จะกักเก็บรังสีอินฟราเรดซึ่งควรจะหลุดลอดไปสู่ห้วงอวกาศ ผลที่ตามมา
คืออุณหภูมิของบรรยากาศโลก
และมหาสมุทร
กลับอุ่นขึ้นจนอยู่ในระดับอันตราย
4. สถานการณ์ภาวะโลกร้อน (Climate
Change 2007 : Synthesis Report IPCC4th Assessment )
ภาวะโลกร้อนส่งผลให้โลกมีอุณหภูมิสูงขึ้น โดยในช่วงสิบปีที่ผ่านมา พ.ศ. 2538 – 2549 เป็นปีที่ร้อนที่สุดเท่าที่เคยบันทึกได้ตั้งแต่ พ.ศ. 2539
และเกิดเหตุการณ์น้ำแข็งขั้วโลกละลายระดับน้ำทะเลสูงขึ้น รวมทั้งเกิดภัยธรรมชาติรุนแรงจากเหตุการณ์เปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศไปทั่วโลก เช่น
เฮอริเคน ไต้ฝุ่น โคลนถล่ม
ภัยแล้ง และน้ำท่วม ในทั่วภูมิภาคเอเชียและอเมริกากลาง
ในขณะที่ทวีปยุโรปต้องเผชิญกับคลื่นความร้อนรุนแรงขึ้น
ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความอ่อนไหวของกลไกธรรมชาติของโลกที่นับวันจะมีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อย
ๆ
จากสถานการณ์โลกร้อน
จะส่งผลกระทบต่อวิถีชีวิตและการพัฒนาเศรษฐกิจสังคมของมนุษย์ในหลายด้าน (IPCC,
2002) คือ
1)
ผลกระทบต่อความมั่นคงของแหล่งอาหารและน้ำจืด ผลผลิตทั้งปริมาณและคุณภาพทางการเกษตร ปศุสัตว์และการประมงลดลง
2)
ผลกระทบต่อระบบนิเวศน์และความหลากหลายทางชีวภาพ พืชและสัตว์บางชนิดสูญพันธ์ มีผลต่อสมดุลระบบนิเวศน์
3)
ผลกระทบต่อการอพยพถิ่นฐานของประชาชกรโลกเนื่องจากภัยธรรมชาติ เช่น
น้ำท่วม ความแห้งแล้ง และความขัดแย้งจากการขาดแคลนอาหารเพื่อแย่งหาแหล่งน้ำและพื้นที่ทำกิน
4)
ผลกระทบต่อสุขภาพอนามัย การแพร่ระบาดของโรคต่าง ๆ
เจ็บป่วยจากอุณหภูมิสูง และเครียดจากการปรับตัวทางเศรษฐกิจและสังคม และภัยธรรมชาติที่เกิดบ่อย
5. แนวโน้มการเปลี่ยนแปลงของโลกต่อภาวะโลกร้อน
ปัจจุบันการรับรู้และทัศนคติของสาธารณชนในความห่วงใยต่อสาเหตุและความสำคัญของปรากฏการณ์โลกร้อนมีมากขึ้น
และการค้นพบทางวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับปรากฏการณ์โลกร้อนที่เพิ่มมากขึ้นทำให้ชาติต่าง
ๆ รวมทั้งชุมชนและองค์การในภูมิภาคต่าง ๆ
เริ่มปฏิบัติการเพื่อหยุดการร้อนขึ้นของโลก
ข้อตกลงอันกับต้นของโลกว่าด้วยการต่อสู้เพื่อลดก๊าซเรือนกระจกคือ พิธีสารเกียวโต (Kyoto
Protocal)
ซึ่งเป็นกฏหมายระหว่างประเทศเพื่อให้เกิดพันธกรณีที่จะทำให้การลดก๊าซเรือนกระจกเป็นจริงในทางปฏิบัติมากขึ้นจากอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
(UNFCCC) โดยได้เจรจาต่อรองและตกลงกันเมื่อปี พ.ศ. 2540 ปัจจุบันพิธีสารดังกล่าวครอบคลุมประเทศค่าง ๆ
ทั่วโลกมากกว่า 160
ประเทศและรวมปริมาณการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกมากกว่า 65 % ของทั้งโลก
หลักการสำคัญของพิธีสารฯ
ใช้หลักการรับผิดชอบโดยแบ่งกลุ่มประเทศตามระดับแตกต่างกันทั้งจากปัจจัยเกี่ยวกับฐานะทางเศรษฐกิจ และสัดส่วนการปล่อยก๊าซเรือนกระจกกล่าวคือ
ประเทศอุตสาหกรรมต้องเป็นผู้นำในการต่อสู้กับปัญหา
และประเทศกำลังพัฒนาดำเนินการตามกำลังและความสามารถ นโยบายและข้อตกลงในการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจก
คือให้ประเทศที่พัฒนาแล้ว (43 ประเทศ)
มีพันธกรณีที่ต้องลดการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกตามอนุสัญญาฯ ในขณะที่ประเทศกำลังพัฒนาอื่น ๆ (เช่น ASEAN จีน อินเดีย) ไม่มีพันธกรณีในการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจก ทำให้สหรัฐฯ
ใช้อ้างเป็นเหตุผลที่ยังไม่ยอมให้สัตยาบันในพิธีสารดังกล่าว ทั้งที่สหรัฐฯ
เป็นประเทศที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกมากที่สุดในโลก (IPCC.2002)
สหรัฐฯ ให้เหตุผลว่าจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจอย่างรุนแรงเพราะยังมีการยกเว้นให้ประเทศอื่น
ๆ ในโลกมากกว่าร้อยละ 80 ของประเทศที่ลงนามทั้งหมด
รวมทั้งประเทศที่เป็นศูนย์รวมประชากรที่ใหญ่ที่สุดในโลกคือ จีน
และอินเดีย อย่างไรก็ดี ยังมีรัฐและรัฐบาลท้องถิ่นจำนวนมากในสหรัฐฯ
ที่ริเริ่มโครงการรณรงค์วางแนวปฏิบัติของตนเองให้เป็นไปตามพิธีสารเกียวโตตัวอย่างเช่น การริเริ่มก๊าซเรือนกระจกภูมิภาค
ซึ่งเป็นโปรแกรมการหยุดและซื้อเครดิตการปล่อยก๊าซเรือนกระจกระดับรัฐ
นอกจากนี้
ประเด็นปัญหาการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศนำไปสู่การอภิปรายเกี่ยวกับกลุ่มประเทศเศรษฐกิจพัฒนาใหม่
(nowly developed economies)
อย่างประเทศจีนและอินเดีย
ว่าควรบังคับระดับการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเท่าใด
โดยมีการคาดกันว่าการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์รวมของประเทศจีนจะสูงกว่าอัตราการปล่อยของสหรัฐฯ
ภายในไม่กี่ปีข้างหน้านี้
6. การเคลื่อนไหวของไทยต่อภาวะโลกร้อน
สถานการณ์ภาวะโลกร้อน ทำให้เกิดความแปรปรวนของภูมิอากาศ ฤดูกาล
และปริมาณน้ำฝน
ล้วนมีผลกระทบต่อประเทศไทยไม่ต่างจากประเทศอื่น ๆ ในโลก โดยสังเกตได้จากภัยธรรมชาติที่เกิดขึ้นในช่วงหลายปีที่ผ่านมาประเทศไทยมีทั้งภัยแล้ง พายุ
และน้ำท่วม ผลกระทบจากภาวะโลกร้อนที่เห็นได้ชัดเจนในระยะสั้นแก่ประเทศไทยได้ก่อให้เกิดความเสียหายต่อผลผลิตทางการเกษตรจำนวนมาก โดยผลกระทบดังกล่าว อาจส่งผลต่อสถานะของไทยในการเป็นผู้ผลิตสินค้าเกษตรอันดับต้นของโลก
รวมถึงการส่งเสริมยุทธศาสตร์การค้าครัวไทยสู่ครัวโลก
โดยเฉพาะพืชเศรษฐกิจสำคัญของไทย
ได้แก่ ข้าว
เนื่องจากมีรายงานการวิจัยจากสถาบันข้าวนานาชาติในประเทศจีนพบว่า
อุณหภูมิที่สูงขึ้นในนาข้าวมีผลต่อละอองเรณูซึ่งอ่อนไหวต่ออุณหภูมิอย่างมาก ทำให้ผสมไม่ติดข้าว โดยในรวงข้าวไม่มีเมล็ด จากผลรายงานดังกล่าวย่อมมีผลต่อภาคการผลิตและการส่งออกข้าวของไทยในอนาคต หากปัญหาโลกร้อนทวีความรุนแรงมากขึ้น
ประเทศไทยได้ร่วมลงนามและให้สัตยาบันต่อพิธีสารเกียวโตเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ปี
พ.ศ. 2542 และเดือนสิงหาคม ปี พ.ศ. 2545
ตามลำดับ
พิธีสารดังกล่าวมีผลบังคับใช้เมื่อวันที่
16 กุมภาพันธ์
แม้จะถูกจัดอยู่ในกลุ่มประเทศกำลังพัฒนาตามบัญชีประเทศของอนุสัญญาฯ
ที่ไม่มีพันธกรณีในการลดการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจก
แต่มีส่วนร่วมในการลดก๊าซเรือนกระจกผ่านกลไกการพัฒนาที่สะอาด (Clean Development
Mechanism : CDM) ตามพิธีสาร ฯ ได้ ทั้งนี้สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้เริ่มวางแผนการดำเนินงานตามพิธีสาร ฯ
ในการทำ CDM
เพื่อให้ประเทศไทยได้ประโยชน์จากโครงการนี้ในหลายด้าน เช่น
ก่อให้เกิดการพัฒนาที่ยั่งยืนให้กับประเทศ
มีการพัฒนาด้านเทคโนโลยีที่สะอาด
และถ่ายทอดเทคโนโลยี
และความรู้ด้านการจัดการ เพื่อลดก๊าซเรือนกระจกให้แพร่หลายในประเทศ เป็นต้น
7. ข้อเสนอแนะ
จากการศึกษาสถานการณ์ภาวะโลกร้อนข้างต้น
แม้จะเป็นภัยคุกคามต่อการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ
แต่ในขณะเดียวกันประเทศไทยอาจสร้างโอกาสทางการค้าและการลงทุนในด้านต่าง ๆ
จากภาวะโลกร้อนได้
โดยจะเชื่อมโยงโอกาสดังกล่าวตามการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ของกระทรวงพาณิชย์ ดังนี้
7.1 การผลิตสินค้าตามความต้องการของตลาด
► สร้างมูลค่าเพิ่มและสร้างความแตกต่างให้กับสินค้าไทยในตลาดต่างประเทศ
โดยพัฒนาสินค้า/เทคโนโลยีที่สามารถลดก๊าซเรือนกระจก
หรือสินค้าที่กระบวนการผลิตมีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกปริมาณน้อยลง
โดยครอบคลุมสินค้าตั้งแต่ของใช้สอยประจำวัน
จนถึงภาคอุตสาหกรรมและภาคอสังหาริมทรัพย์รวมทั้งภาคบริการที่เน้นกิจกรรมช่วยลดภาวะโลกร้อน
เป็นต้น
► เตรียมความพร้อมผู้ประกอบการไทยต่อการค้าระหว่างประเทศในอนาคตที่อาจมีการพัฒนาเงื่อนไขของการกีดกันการค้าที่เข้มงวดมากขึ้นในด้านสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะมาตรการป้องกันภาวะโลกร้อน โดยอาจระบุสินค้าที่จะนำเข้าประเทศนั้น ในกระบวนการผลิตต้องไม่มีส่วนในการทำลายชั้นบรรยากาศ
หากผู้ประกอบการในประเทศไทยไม่สามารถปรับตัวให้เข้ากับมาตรฐานเหล่านี้ อาจสูญเสียโอกาสทางการตลาดของโลกได้
7.2 มุ่งพัฒนาตลาดสินค้าเกษตร
► สร้างเกราะป้องกันแก่สินค้าเกษตรไทยจากภาวะโลกร้อน
โดยประสานหน่วยงานภาครัฐและเอกชนที่เกี่ยวข้อง ให้ตระหนักต่อผลกระทบของโลกร้อนต่อผลผลิตทางการเกษตรเพื่อกระตุ้นให้มีการวิจัยด้านการพัฒนาพันธุ์พืชเศรษฐกิจของไทยมากขึ้น โดยเฉพาะพันธุ์ข้าว ให้มีความทนต่ออุณหภูมิสูง แต่ยังให้ผลผลิตที่ดีมีคุณภาพ
เพื่อประเทศไทยจะมีผลผลิตทางการเกษตรสนองตอบต่อความต้องการของตลาดในประเทศ และสามารถรักษาตลาดส่งออกสินค้าเกษตร แม้จะมีการแปรปรวนทางสภาพอากาศมากขึ้นในอนาคต
► ปัจจัยด้านสภาพภูมิอากาศมีอิทธิพลต่อผลผลิตทางการเกษตร
การติดตามสถานการณ์การเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศของประเทศคู่แข่งทางด้านสินค้าเกษตร ควบคู่ตัวเลขชี้นำทางเศรษฐกิจอื่น ๆ ช่วยให้สามารถประเมินสถานการณ์อุปสงค์อุปทานของสินค้าเกษตรในตลาดโลก
และกำหนดกลยุทธ์ทางการตลาดให้สอดคล้องกับสถานการณ์จริงมากขึ้น
7.3 เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันจากโครงการ
กลไกการพัฒนาที่สะอาด
การใช้ประโยชน์จากโครงการกลไกการพัฒนาที่สะอาด (Clean Development
Mechanism: CDM)
ตามพิธีสารเกียวโต
ซึ่งเป็นกลไกตามข้อตกลงเกียวโตที่ให้ประเทศพัฒนาแล้วสามารถดำเนินการลดปริมาณก๊าซเรือนกระจกในประเทศกำลังพัฒนา และนำปริมาณก๊าซฯ
ที่ลดได้ไปคำนวณเป็นเครดิตของประเทศตนเองเพื่อบรรลุเป้าหมายตามพันธกรณี ซึ่งประเทศไทยในฐานะประเทศกำลังพัฒนาจะได้รับประโยชน์ด้านการลงทุน เช่น
เทคโนโลยีพลังงานที่สะอาด
การถ่ายทอดเทคโนโลยี
การจ้างงาน
และสิ่งแวดล้อมที่ดีขึ้น
แนวทางแก้ไข
แนวทางการแก้ไข
หลังจากที่มีการค้นพบว่าบริเวณขั้วโลกใต้ในฤดูใบไม้ผลิได้เกิดรูรั่วของบรรยากาศชั้นโอโซนขึ้น
โดยมีสาเหตุจากสารสังเคราะห์จำพวกคลอโรฟลูออโรคาร์บอนหรือ CFCs
องค์การสิ่งแวดล้อมแห่งสหประชาชาติจึงผลักดันให้มีการลงนามใน อนุสัญญาเวียนนา
ว่าด้วยการพิทักษ์ชั้นโอโซน ในปี พ.ศ. 2528 ต่อมาได้มีข้อกำหนดที่เกิดขึ้น
เมือ พ.ศ. 2530 ณ นครมอนทรีออล ว่าด้วยการลดและเลิกใช้สารทำลายชั้นโอโซน
ที่เรียกว่า พีธีสารมอนทรีออล
โดยประเทศไทยได้เข้าร่วมเป็นภาคีสมาชิก แต่ตั้งปี พ.ศ. 2532
และได้มีการจัดตั้งหน่วยอนุรักษ์โอโซนในอุตสาหกรรมทั้งภาคผลิตและภาคการบริการ
โดยจัดทำแผนงานเลิกการใช้สารทำลายโอโซน และจัดทำโครงการให้ความช่วยเหลือด้านการเงินแก่ผู้ประกอบการ
เพื่อปรับเปลี่ยนกระบวนการผลิตในแต่ละอุตสาหกรรม รวมถึงมาตรการควบคุม และลดปริมาณการนำเข้าสารทำลาชั้นโอโซนและประสานงานกับหน่วยงานระหว่างประเทศ
เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลเทคโนโลยีทดแทน
ในปี พ.ศ. 2540 ได้เกิด พิธีสารโตเกียว
ขึ้นโดยมีการกำหนดให้ประเทศที่จัดอยู่ในกลุ่มพัฒนาแล้ว ต้องมีการลดปริมาณก๊าชเรือนกระจกที่สำคัญ
6 ชนิด ได้แก่ ก๊าชคาร์บอนได้ออกไซต์ (CO2)
ก๊าชมีเทน (CH4) ก๊าชไนตรัสออกไซด์
(N2O) ก๊าชไฮโดรฟูโอคาร์บอน (HFCs)
ก๊าชเปอร์ฟลูโรคาร์บอน (CFCs) และก๊าชซัลเฟอร์เฮกซ่าฟลูโอโรด์
(SF6) โดนรณรงค์ให้ทั่วโลกหันมาใช้ พลังงานสะอาด (Glean Energy)
หรือพลังงานทดแทนจากธรรมชาติ เพื่อเป็นการลดการปล่อยก๊าชเรื่อนกระจกโดยเฉพาะก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์
ออกสู่สิ่งแวดล้อมให้น้อยลง
มย�@$�
������ละไม่มีทุนทรัพย์พอที่จะป้องกันผลกระทบของภาวะโลกร้อนได้ ยกตัวอย่างเช่น การป้องกันการรุกล้ำของน้ำเค็มในพื้นที่ทำกิน
อาจทำได้โดยการสร้างเขื่อน และประตูน้ำป้องกันน้ำเค็ม แต่วิธีการนี้ต้องลงทุนสูง ดังนั้นเมื่อราคาของการป้องกันสูงเกินกว่าที่ชาวนาจะสามารถรับได้
การทิ้งพื้นที่ทำกินในบริเวณที่ให้ผลผลิตต่ำจึงเป็นทางออกที่คาดว่าจะเกิดขึ้น
นอกจากนี้
ความเสียหายต่างๆที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็น การสูญเสียพื้นที่เกษตรกรรมที่สำคัญตามแนวชายฝั่งที่ยุบตัว
ภัยธรรมชาติ และความเสียหายที่เกิดจากเหตุการณ์ธรรมชาติที่รุนแรง ล้วนส่งผลให้ผลิตผลทางการเกษตร
ซึ่งเป็นสินค้าออกหลักของประเทศมีปริมาณลดลง พื้นที่ที่คุ้มค่าแก่การป้องกันในเชิงเศรษฐกิจ
และพื้นที่ที่มีการพัฒนาสูง อาจได้รับการป้องกันล่วงหน้า เช่น
นิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด จำต้องมีโครงสร้างป้องกันกระแสคลื่น
ซึ่งจะรุนแรงขึ้นเมื่อน้ำทะเลสูงขึ้น หรือการสร้างกำแพงกั้นน้ำทะเลหรือเขื่อน เพื่อป้องกันการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำทางการเกษตร
และการทำนาเกลือ เป็นต้น
การป้องกันดังกล่าวนั้นจะต้องใช้งบประมาณจำนวนมหาศาล
ดังนั้น ในพื้นที่ที่ไม่คุ้มค่าที่จะป้องกันในเชิงเศรษฐกิจจะถูกละทิ้งไป ซึ่งในส่วนนี้จะเป็นส่วนที่เกิดปัญหาเศรษฐกิจและสังคมมากที่สุด
เช่น การช่วยเหลือชาวนา ซึ่งจำเป็นที่จะต้องย้ายไปอยู่ที่ที่สูงขึ้นเนื่องจากน้ำทะเลรุก
เป็นต้น
|
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)